VR และ AR

VR (Virtual Reality) หรือแว่นตาเสมือนจริง คือสภาพแวดล้อมเสมือนที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยใช้ sofiware และนำเสนอให้กับผู้ใช้ว่าภาพที่เห็นเป็นภาพเสมือนจริงผ่านทางPlatformทั้งคอมพิวเตอร์,เครื่องเล่นเกม หรือแม้กระทั่งสมาร์ทโฟนของคุณเองโดยใช้ประสาทการรับรู้ทางด้านการมองเห็นและการได้ยินเป็หลัก

เริ่มต้นกระแส VR - ย้อนไปเมื่อปี 2013 ผู้ที่เริ่มปลุกกระแส VR ในช่วงแรกๆน่าจะเป็น Oculus ที่มีการระดมทุนในการผลิต Oculus Development Kit 1 ขึ้นมาผ่านทาง Kickstarter และมีผู้สนใจมาระดมทุนเป็นจำนวนมาก สามารถระดมทุนไปได้ถึง 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 87 ล้านบาท จนในเดือนมีนาคม ปี 2014 Facebook มีความสนใจซื้อกิจการ Oculus ไปด้วยมูลค่าที่สูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 69,000 ล้านบาท สูงกว่าการซื้อกิจการของ Instagram กว่าเท่าตัว

กระแสของ VR เพิ่มมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นในปี 2014 – 2015 แบรนด์เทคโนโลยีชั้นนำต่างเล็งเห็นความสำคัญของแว่น VR มากขึ้นทั้ง Google ที่ผลิต Google Cardboard , HTC ก็ร่วมมือกับ ค่ายเกม Valve ผลิต HTC Vive แม้กระทั่ง Samsung ก็ทำ Samsung Gear VR เช่นกัน และหลากหลายยี่ห้อ มีตั้งแต่ราคาถูก 200 บาท จนไปถึงแพงระดับเป็นหมื่นกว่าบาทก็ยังมีทำให้ VR เกิดการแพร่มาในปัจจุบัน

ในงาน GDC 2016 (Game Developers Conference) ได้ให้ความสำคัญกับ VR มากขึ้นโดยการจัด VRDC 2016 (Virtual Reality Developers Conference) เพื่อเป็นการผลักดันนักพัฒนาให้มีการสร้าง Virtual Reality ให้มีความแพร่หลายยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่มีการสนับสนุนให้วงการ VR มีความก้าวหน้าขึ้น และทาง The Verge ได้ไปสัมภาษณ์ นักพัฒนาจากค่ายเกมชื่อดังระดับโลก ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า VR เป็นทางเลือกใหม่ที่สามารถเปลี่ยนโลกในการเล่นเกมและยังสามารถเปลี่ยนรูปแบบการดูหนังหรือเล่นเกมได้เลยทีเดียว

นักพัฒนามีทางเลือกในการพัฒนา VR
การที่มีชุดพัฒนาจากหลากหลายค่ายทำให้นักพัฒนามีอำนาจในการตัดสินใจหรือเลือกชุดพัฒนาที่ตัวเองถนัดได้ ทั้งในเชิงการเขียนโปรแกรม (C# , Java หรือภาษาอื่นๆที่รองรับ) ชุดพัฒนาตัวเกม (Unity , Unreal Engine เป็นต้น) หรือการเผยแพร่เกมที่สามารถเลือกค่ายได้ (Google Play Store , App Store , Steam VR , Samsung Oculas และอื่นๆในอนาคต)

ประโยชน์ของ VR
VR สภาพแวดล้อมที่เรามองไม่เห็น การที่เราสวมแว่น VR เข้าไปแล้ว ทำให้มีโลกเสมือนครอบทับอยู่ในหัวของเรา ซึ่งทำให้เราไม่สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมในโลกของจริงได้เลยว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ทำให้เรารู้ว่าไม่ควรยืนหรือเดิน ขณะเล่น VR อยู่เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตราย

ข้อเสียของ VR
การที่เราได้เล่น VR ครั้งแรกอาจจะรู้สึกวิงเวียนศีรษะ คล้ายๆ อาการเมา ผมเองก็เคยเป็นเช่นกัน ซึ่งถ้าใส่ไปหลายๆ ครั้งจนชินอาจจะทำให้อาการนี้หายไปได้ แต่ถ้าเราสวมใส่แว่น VR ไปแล้วเกิดอาการเวียนหัวรุนแรง ปวดตา หรืออาเจียน ให้หยุดการสวมใส่ทันที เพื่อไม่เกิดอันตรายต่อตัวเรา ซึ่งถ้าเราใส่เป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง อาจจะทำให้มีผลเสียต่อสุขภาพดวงตา และสมองของเราได้และส่งผมเสียสำหรับเด็กภาพในโลกจริงกับโลกเสมือน แน่นอนว่าผู้ใหญ่สามารถแยกแยะออกได้ แต่สำหรับเด็กมันอาจไม่ใช่อย่างนั้น เพราะสมองของเด็กๆ ยังไม่สามารถแยกแยะออกได้ว่าอันไหนคือโลกเสมือนหรือโลกแห่งความจริง โดยทั้ง Oculus Rift , Samsung Gear VR และ Sony PlayStation VR ได้ประกาศชัดเจนแล้วว่า ไม่แนะนำให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 13 ปีสวมใส่แว่น VR

เด็กต่ำกว่าอายุ 13 ใส่แว่นตาเสมือนจริง VR (Virtual Reality) แล้วหกล้ม

AR (Augmented Reality) เป็นเทคโนโลยีที่ผสมผสานระหว่างโลกจริง (โลกที่เราอยู่นี่แหละ) กับโลกเสมือน (โลกในคอมพิวเตอร์) เข้าด้วยกัน โดยจะใช้บางอย่างในโลกจริง เพื่อไปเป็นตัวแปรในโลกเสมือนเช่น พิกัด GPS , รูปภาพ

อธิบายแบบง่ายๆคือ แทนที่เราจะใช้นิ้วกดปุ่มบนหน้าจอ Smartphone เพื่อแสดง Video เราก็ยกกล้อง Smartphone เล็งไปยังรูปภาพเป้าหมายเพื่อแสดง Video แทนโดยหลักๆ แล้ว AR จะประกอบด้วย 3 อย่างคือ

1. ตัว Marker ซึ่งเป็นได้ทั้งแบบรูปภาพ สัญลักษณ์ หรือพิกัด GPS ก็ได้

2. กล้อง Webcam, Smartphone, Sensor ต่างๆ

3. ส่วนแสดงผล อาจจะเป็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือ Smart Phone ก็ได้

การทำงานคือ เมื่อเราใช้มือถือ(เปิดแอพ AR ด้วยนะ)ส่องไปที่รูปภาพที่เป็น Marker แอพจะประมวลผลว่ารูปภาพนั้นตรงกับ Marker ที่กำหนดไว้หรือไม่ ถ้าตรงกันก็แสดง 3D Model (สมมตินะ จริงๆแล้วเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ Model ก็ได้แล้วแต่แอพ)

และเดี๋ยวนี้มีคนทำแอพ AR เพื่อให้ลองเล่นกันมากมายแล้ว เรามาดูตัวอย่างสวยๆกันเลยดีกว่า

IKEA

เริ่มกันด้วยแอพของบริษัทขายเฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่อย่าง IKEA กันเลยแล้วกัน แอพนี้จะทำให้เราสามารถลองจัดบ้านก่อนซื้อของมาตกแต่งเป็นเรื่องง่ายๆ